สถาบันศิลปะbauhausหรือที่เรารู้จักโดยทั่วไปว่า The Bauhaus School Art craft and design ได้รับการสร้างขึ้นมาโดยสถาปนิกที่ชื่อว่า walter gropius ที่เมืองไวท์มาร์ ประเทศเยอรมันนีในปี คศ 1919 คำว่าเบาเฮาส์ building house นั้น เป็นการสะท้อนถึงต้นตอกำเนิดแบบสังคมนิยม ที่เกี่ยวพันกับขบวนการเคลื่อนไหวทางด้านศิลปะและงานฝีมือ ซึ่งไม่ใช่อย่างเดียวกันกับ ความพยายามในช่วงต้นๆในการรื้อฟื้นพลังเกี่วกับผลิตผลทางงานฝีมือ และ แม้ว่าสถาบัน Bauhaus จะมุ่งสอนในลักษณะของแนวก้าวหน้าให้อิสระภาพทางความคิดอย่างเต็มที่และต้องการพัฒนาสังคมแต่ความคิดเช่นนี้กลับทำให้สังคมตอบรับอย่างเชื่องช้าและส่งผลกระทบต่อสถาบันในท้ายสุด
ก่อนการตั้งสถาบันศิลปะ bauhaus ที่จริงแล้วก็มีโรงเรียนที่สอนด้านทางด้านศิลปะอยู่แล้วบ้างบางโรงเรียนก้เน้นหนักไปทางพาณิชย์ศิลปะ ส่วนบางโรงเรียน ก้เน้นไปด้านวิจิตรศิลป์ ส่วนสถาบันศิลปะ bauhaus นั้นได้นำทั้งสองอย่างมาวมกันซึ่งทำให้อาจารย์ซึ่งสอนอยู่ในสถาบันศิลปะเดิมที่ไม่สามารถที่จะปรีบตัวเข้ากับ bauhaus นั้นเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปินซึ่งมีความสามารถทางด้านรุปทรง (master of form) ให้มาสนใจในด้านการฝีมือในขณะเดียวกันก็ให้สิลปินที่มีความสามารถในทางฝีมือ (shop master)ให้กลับมาสนใจในความคิดสร้างสรรค์ละเรื่องรูปทรง ส่วนหนึ่งซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญ ของสถาบันคือสถาบันศิลปะแห่งนี้เน้นในเรื่องการสนทนาระหว่างผู้สอนกัยนักศึกษาโดยถือว่าการพุดคุย นั้นเป็นสิ่งสำคัญแรกสุดเพื่อที่จะให้อาจารย์ที่มีความเชียวชาญจากหลากหลายสาขาและเพื่อให้นักศึกษาแต่ละคนนำความรู้ที่ได้รับได้รับจากอาจารย์ไปต่อยอดเป็นความรู้ของตนเอง นอกจากนี้สถาบันสอนศิลปะbauhaus เน้นในเรื่องของ การลงมือปฎิบัติด้วย Gropius การทำงานด้วยมือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้นักศึกษาได้รับรู้ถึงการใช้วัสดุที่แท้จริง จึงทำให้ นักศึกษาของ bauhaus นั้นเป็นผู้รู้ทางฤษฎีและปฏิบัติไปพร้อมๆกัน...สถาบันต้องการผลิตนักศึกษาซึ่งมีความรู้ในด้านศิลปะและเชิงช่างอย่างรอบด้านด้วยเหตุนี้ นักศึกษาจึงมไม่ได้ถูกคาดหวังให้เป็นสถาปนิกแต่ต้องการให้มีความรู้พื้นฐานของศิลปะโครงสร้าง construction artอีกส่วนหนึ่งที่ถือว่าสำคัญก็คือการให้อิสระแก่นักศึกษา ทั้งนี้เพื่อให้นักศึกษาหลุดออกไปจากกรอบเดิมๆกล้าที่จะคิดรุปทรงใหม่ๆเพื่อที่จะนำไปปรับปรุงสิ่งต่างๆในสังคมให้ร่วมสมัยมากขึ้น
ลักณะงานของเบาเฮ้าส์
1.นิยมใช้ รูปทรงเรขาคณิต(Goeometric Form)
2.ใช้โครงสร้างมีลักษณะเรขาคณิต ที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับงานโครงสร้างทางสถาปัตนกรรม
3.งานมีการใช้Gridที่แข็งแรง ไม่วางแบบFreeform
จุดสิ้นสุดของสถาบันศิลปะเบาเฮาร์
สถาบันศิลปะ bauhaus ต้องการผลิตนักศึกษาผู้ซึ่งมีความรู้ในด้านศิลปะและเชิงช่างอย่างรอบด้านด้วยเหตุนี้นักศึกษาจึงไม่ได้ถูกคาดหวังให้เป็นสถาปนิกแต่ต้องการให้มีความรู้พื้นฐานของศิลปะโครงสร้าง construction art อีกส่วนหนึ่งที่ถือการให้อิสระแก่นักศึกษาท้งนี้เพื่อให้นักศึกษาหลุดออกไปจากกรอบเดิมๆกล้าที่จะคิดรุปทรงใหม่คิดรุปทรงใหม่ๆเพื่อที่จะนำไปปรับปรุงสิ่งต่างๆในสังคมให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าสถาบันศิลปะ bauhaus จะมีการเรียนการสอนที่ลําหน้ามากกว่าที่อื่นในช่วงนั้นนับจากแนวคิดของผู้ก่อตั้งอาจารย์ผู้สอนและการเรียนการสอนของนักศึกษา แต่สถาบันแห่งนี้กลับต้องยุติบทบาทเนื่องมาจากสาเหตุทางการเมืองในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างแนวคิดอณุรักษ์นิยมกับสังคมนิยม โดยรัฐบาลและประชาชนที่ไปยังมีแนวคิดแบบอณุรักษ์นิยม เมื่อมีความขัดแย้งมากขึ้น Gropius จึงได้ถูกบีบบังคับให้ลาออกจากสถาบันศิลปะ bauhaus ที่เมือง ไวมาร์ ลงในปี 1924 การปิดของสถาบันนี้น่าแปลกที่กลับได้รับการตอบรับในแง่บวกจากเมืองสำคัญต่างๆในเยอรมันซึ่งสนใจที่จะนำศิลปะ bauhaus มาสร้างในเมืองของตนแต่แล้วคนที่ได้ไปก็คือนายกเทศมนตรีจากเมือง เดลซา และได้เปิดสถาบันสิลปะ bauhaus ขึ้นจนเมื่อปี 1928 Gropius จึงได้ขอลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการอีกครั้งและตั้งแต่คนอื่นขึ้นมาดุแทนในทศวรรษที่ 1930 พรรคนาซีเยรอมันได้ประสบชัยชนะทางการเมืองทำให้ bauhaus ต้องย้ายไปอยู่ที่กรุงเบอร์ลิน และถูกปิดอย่างเด็ดขาดในเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนเดียวที่ก่อตั้งสถาบันขึ้นมา แม้ว่า bauhaus จะถูกปิดตัวลงในเยอรมันนีแต่บทเรียนรวมทั้งวิธีการสอนกลับมีการแพร่ขยายออกไปและมีอิทธิพลต่อโรงเรียนสอนศิลปะทั่วโลกทั้งในยุโรปและอเมริกา